5 วิธี “นอนหลับ” อย่างมีคุณภาพรับ “วันนอนหลับโลก”

13 มี.ค. 2563 10:23 น.

13 มีนาคม 2563 คือ “วันนอนหลับโลก” Lady MIRROR รู้หรือไม่? วันนอนหลับโลกจัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551 โดยมีสโลแกนว่า “Sleep Well, Live Fully Awake” หรือ “หลับสนิทชีวิตตื่นตัว” ที่จัดทั่วโลกในวันศุกร์ก่อนฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคม ต่อมาได้มีการจัดงานเป็นประจำทุกปี โดยจัดขึ้นทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ที่สองในเดือนมีนาคม

ทำไมทั่วโลกถึงให้ความสำคัญกับ “การนอนหลับ” เพราะสาวๆ รู้หรือไม่การ “นอนหลับ” เป็นปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งของ “ร่างกาย” ในการเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่ โดยการนอนหลับจะเป็นการเติมพลังงานให้กับร่างกาย ช่วยในการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) การซ่อมแซมส่วนต่างๆ และเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้เวลานอนหลับ ยังเป็นช่วงเวลาที่ฮอร์โมนความเครียดในร่างกายนั้นลดลงอีกด้วย ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า เมื่อไหร่ที่เรานอนน้อย นอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ ร่างกายจะมีปัญหาต่างๆ ตามมาทันที ถ้าเกิดสะสมเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือระยะเวลานานๆ อาจทำลายอวัยวะ หรือก่อให้เกิดโรคร้ายตามมา ไม่ใช่แค่ร่างกายทรุดโทรมอย่างเดียวแน่นอน

ฟังแล้วก็เหมือนจะเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ที่มักมีอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้น Lady MIRROR คนไหนนอนไม่หลับขอยกมือขึ้นค่ะ รู้หรือไม่จริงๆ แล้ว เราสามารถดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีได้ด้วยการนอนหลับ ล่าสุดฟิตบิทได้ให้ข้อมูลเรื่องราว “การนอนหลับ” เนื่องใน “วันนอนหลับโลก” ไว้อย่างน่าสนใจ ถึงวิธีการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี แม้ปกติเราจะรู้อยู่แล้วว่า คนเราควรพักผ่อนด้วยการนอนหลับเฉลี่ยวันละอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ขณะที่บางคนก็อาจนอนไม่ครบ ซึ่งก็ต้องซีเรียสอะไรนะคะ เนื่องจากพวกอัจฉริยะทั้งหลาย ส่วนใหญ่นอนแค่วันละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น พวกเขาก็สามารถใช้สมองและร่างกายได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ที่แต่ละบุคคลมากกว่า ทีนี้จงมาฟังทางนี้กับ…

5 วิธี “นอนหลับ” อย่างมีคุณภาพ เนื่องใน “วันนอนหลับโลก”

1. ปิดไฟและไฟหน้าจอก่อนนอน

การปิดไฟก่อนนอน ไม่เพียงช่วยประหยัดไฟ แต่ยังช่วยให้การ “นอนหลับ” มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งนอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงแสงไฟจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต เนื่องจากแสงหน้าจอจากอุปกรณ์เหล่านี้ สามารถทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว โดยทุกคนสามารถเริ่มจากการตั้งเวลาเพื่อที่จะหยุดเช็กข้อความ หรือหยุดเล่นมือถือก่อนนอน นอกจากนี้การวางอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ไกลตัว ก็ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการฝึกใจและร่างกาย ให้พร้อมที่จะนอนหลับได้

2. เลิกกาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การจำกัดกาเฟอีนอยู่ที่กาแฟมื้อเช้า อาจช่วยให้การ “นอนหลับ” ของคุณดีขึ้น กาเฟอีนมีผลกระทบกับร่างกายเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังจากการบริโภค นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่แสดงว่าการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน แม้จะช่วยให้นอนหลับได้เร็วขึ้น แต่ก็ทำให้นอนหลับไม่มีคุณภาพ ซึ่งดูได้จากการพลิกไปมาระหว่างหลับ ตื่นนอนในช่วงกลางคืน หรือนอนหลับไม่สนิทตลอดคืน

3. ตั้งเวลาการนอน

การตั้งเวลา “นอนหลับ” ให้สม่ำเสมอในแต่ละคืน มีส่วนช่วยในการพัฒนานิสัยการนอนหลับ โดยปกติร่างกายของมนุษย์ ต้องการความต่อเนื่องในการนอนหลับ การจัดตารางเวลาพักผ่อนจึงเป็นตัวช่วยสำคัญ เมื่อร่างกายปรับเวลานอนให้เพียงพอ ร่างกายก็จะตื่นนอนตามเวลาที่เหมาะสม เพื่อพร้อมรับวันใหม่ในทุกเช้า

4. เข้าใจพฤติกรรมการนอนของตนเอง

ในแต่ละคืนร่างกายของเราจะเข้าสู่ระยะของการนอนหลับแตกต่างกันไป จะหลับตื้น หลับลึก แล้วแต่ช่วงเวลา ซึ่งการ นอนหลับ แต่ละช่วงเวลา ก็ทำให้คุณภาพการนอนของเราแตกต่างกันตามไปด้วย ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ความกระสับกระส่ายในช่วงเวลานอน เวลาที่ตื่นและระดับการนอนหลับ หรือ Sleep Stage ดังนั้นเมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว เราสามารถกำหนดจำนวนชั่วโมงการนอนของเราได้ และเพื่อให้ร่างกายได้เข้าใจพฤติกรรมการนอนของตนเอง และตัดปัญหาเรื่องการถูกรบกวนตลอดคืน รวมถึงเวลาลุกเข้าห้องน้ำด้วย

5. ตัดขาดความเครียด หลังจากเหน็ดเหนื่อยตลอดวัน

การฝึกฝนจิตใจให้ละจากความเครียด และพยายามมองโลกในแง่ดีหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย คือหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทุกคนมองข้ามไป ในการพัฒนาคุณภาพการนอนและสุขภาพโดยรวม ซึ่งทุกคนอาจเริ่มจากวิธีง่ายๆ อย่างเช่น การออกไปเดินเล่น การเข้าคลาสโยคะ นั่งสมาธิ หรือแม้แต่การฝึกหายใจที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเปลี่ยนชุดนอนและพร้อมที่จะนอนหลับฝันดีตลอดคืน
 
สุดท้ายใน “วันนอนหลับโลก” นี้ MIRROR ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สาวๆ จะเริ่มตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง ในการดูแลร่างกายให้ “นอนหลับ” พักผ่อนอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ เพราะการ “นอนหลับ” สนิทอย่างมีคุณภาพ ในระยะเวลาที่เหมาะสม เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า พร้อมในการใช้ชีวิตประจำวัน และต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ด้วยจ้ะ 

Sweet Dream นะคะ…

ดูเนื้อหาต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/women/beauty/health/1792434
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/women/beauty/health/1792434